วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต

1. เมื่อเด็กกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น มีความต้องการเป็นตัวของตัวเองสูง ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจและใจแคบมักจะมองว่าเด็กดื้อ
2. คนเราจิตตกได้เป็นครั้งคราว อาจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ การรู้ตัวเองและให้อภัยตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. คนอกหักไม่อาจตัดความโศกเศร้าได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเยียวยาความรู้สึกดังกล่าว
4. ให้เคารพแนวคิดของผู้อื่นบ้าง เสมือนหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ต่างไปจากเราเท่านั้นเอง
5. ตนเองเสียเมื่อไหร่ที่คิดดี คิดชอบเป็นอยู่คนเดียว
6. ทำไปเพราะไม่รู้ ให้อภัยกันได้ รู้แล้วยังทำ คือ ความดื้อ
7. ก่อนที่จะว่ากล่าวถึงนิสัยไม่ดีของลูกนั้น ให้มองตัวพ่อแม่เองก่อนด้วยว่า เรามีส่วนผลักดันให้เขาเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า
8. ความทุกข์ของมนุษย์ 100% เกิดจากการพยายามฝืนความจริงของธรรมชาติ
9. หากต้องอยู่กับคนที่ไม่เกรงใจกันเลย พูดกับเขาให้น้อยลง เล่นกับเขาให้น้อยลง
10. หากอยากได้อะไร ก็ควรเสียอะไรบ้าง
11. ถ้าเราปล่อยให้โลก เร่งตัวเรา ควบคุมตัวเรา จนเราขาดอิสระภาพ เราก็จะทุกข์ ถ้าเราจะเร่งโลก ควบคุมโลกให้โลกนี้เป็นไปตามความต้องการของเรา เราก็ทุกข์เช่นกัน
12. ความฉลาดอาจหลอกคนได้ ความจริงใจต่างหากที่จะชนะใจคน
13. การให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากไป ทำให้เราลืมธรรมชาติ ลืมความเป็นจริงได้ง่าย
14. อารมณ์เป็นตัวกำหนดความคิด ความคิดกำหนดพฤติกรรม หากจะเข้าใจพฤติกรรมของคนให้ถูกต้อง จึงต้องอ่านอารมณ์ให้ออก
15. การมองอะไร ว่าดี ว่าเลว ขึ้นกับว่าอารมณ์ของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร
16. ทำอะไรก็แล้วแต่ ควรมีหลักการบ้าง แต่ต้องระวังอย่ายึดเป็นกฎเกินไป
17. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเป็นคำพื้น ๆ ที่ใช้มาเตือนสติเราได้ดีตลอดกาล
18. การพยายามทำอะไรทุกอย่างให้ได้ การสงสัยอะไรทุกเรื่องเป็นความโง่ได้ก็เพราะว่าเรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่ใช่ว่าเราจะรู้มันได้ง่ายและเรื่องอีกหลายเรื่อง ก็ไม่จำเป็นที่ต้องตอบให้ได้ด้วย
19. คุณธรรมส่อคุณค่าของมนุษย์มากกว่าความฉลาด
20. อะไรก็ตามแต่แม้ว่ามันจะจริง จะถูกต้อง แต่ถ้าการพูดออกไปนั้น มันไม่มีประโยชน์มีแต่ผลเสีย อย่าพูดดีกว่า
21. การขาดความเกรงใจต่อกัน ทำให้เราทะเลาะกันได้ง่าย การมีความเกรงใจต่อกันที่มากเกินไป ก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
22. ใครที่เขากล้าพูดความจริงกับเราออกมา นั่นก็เพราะเขามีความเชื่อมั่นว่าเราจะยอมรับเขาได้
23. การฝึกวินัยให้กับลูกนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นการฝึกวินัยให้กับพ่อแม่ด้วย
24. หากลูกเป็นคนเฉื่อยชา เราคงต้องช่วยกระตุ้นให้กำลังใจ หากลูกเป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไป เราคงต้องช่วยสอนให้ลูกได้ปล่อยวางบ้าง กฎเกณฑ์การเลี้ยงลูกของคนๆ หนึ่ง จึงไม่เหมือนของอีกคนๆ หนึ่ง
25. เมื่อคิดจะเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ ที่มองว่าดี ต้องมองถึงความเป็นจริง ความเป็นไปได้ด้วยเสมอ
26. แต่ละคนมีศักยภาพของตัวเองอยู่แล้ว เราจึงควรต้องให้เกียรติต่อกันบ้าง
27. เมื่อเป็นคนก้าวร้าวคนอื่นไม่เป็น ก็มักจะถูกคนอื่นรุกรานได้ง่ายเช่นกัน
28. ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม การตายก็ไม่ใช่วิธีการหนีปัญหาได้ตลอดไป เนื่องจากกรรมนั้น ๆ ยังไม่ได้ชดใช้ จนหมดวาระในตัวของมันเอง เกิดชาติหน้า กรรมเก่าก็จะติดตัวต่อไปอยู่ดี
29. การมองปัญหาในแง่มุมต่างกัน ในจุดต่างกันจะทำให้เข้าใจปัญหาได้ต่างกัน
30. เราจะให้อภัยตัวเอง กับผู้อื่นได้นั้น เราต้องเข้าใจในตัวเองและผู้อื่นได้ก่อน
31. การแก้ปัญหาทางบุคลิกภาพต้องอาศัยทั้งความจริงใจและการอดทนเป็นอย่างยิ่ง
32. ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่….ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นก็หาได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวไม่
33. เวลาที่พ่อแม่จะสะกิดฝีหนองให้ลูกนั้น พ่อแม่เองก็เจ็บปวดไม่น้อย
34. บางครั้งเราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเรา มากกว่าที่เราอยากจะเข้าใจตัวเอง นั่นก็เพราะว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง
35. เรื่องที่คนเราประทับใจ มักจะลืมเลือนได้ยาก ก็เนื่องจากความประทับใจ ไม่ใช่ความจำนั่นเอง
36. จะมีเราอยู่……………………. เขาก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีเราอยู่….……………….. เขาก็เป็นอย่างนั้น
37. หากเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จริงๆแล้ว เราเป็นได้แค่เพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น
38. ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เราจะสัมผัส " การรู้ " ได้ยากยิ่ง
39. ความสับสนในชีวิดมันเกิด ควรหาที่ยึดเหนี่ยวให้จิตใจได้พักเสียบ้าง
40. เรื่องของชีวิต มันมีจังหวะที่ต้องรอคอยอยู่บ้าง จะเรียกร้องให้มันได้ดั่งใจเสมอ
47. พ่อแม่ หากมีความรักลูกมากไปแล้ว ก็ยากที่จะสอนวินัยให้กับลูกได้ดี
48. การเข้าใจคนอื่นได้ เป็นเรื่องที่ดี การเข้าใจตนเองได้ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ และก่อให้เกิดทุกข์ได้มากก็ คือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย
49. กังวล เกินกว่าเหตุ… เชื่อมั่น มากเกินไป… ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักตนเองอยู่เสมอ
50. การเร่งแก้ปัญหา โดยรีบคิดให้ตกทันที จะยิ่งสร้างปัญหาทางอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น

การเดินทางของชีวิต

นานมาแล้ว...มีพระราชา ผู้ซึ่งบอกกับคนขี่ม้าของเขาว่า....

ถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไรก็ตาม พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา

คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว

เพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้ เขาเร่งควบม้าไปเรื่อยๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว .......

เมื่อเขาหิวหรือเหนื่อย เขาจะไม่หยุดควบม้า เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้

เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขาหมดแรง และกำลังจะตาย เขาจึงถามตัวเองว่า....

" ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน? ตอนนี้เรากำลังจะตายและเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็กๆ เพื่อฝังศพตัวเอง "

เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตพวกเรา....

พวกเราผลักดันตัวเองอย่างทุกวันเพื่อให้ได้เงินมากๆมีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ

พวกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง....

เราไม่มีแม้เวลาที่จะให้กับครอบครัว และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว หรือแม้กระทั่ง

งานอดิเรกที่เรารัก เราก็ไม่มีแม้เวลาที่จะทำมัน วันหนึ่งเมื่อเรามองกลับไป ....

พวกเราจะตระหนักว่า สิ่งที่ต้องการนั้น จริง ๆ เรากลับไม่ได้มันมาทั้งๆที่มันอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน .....

แต่สิ่งที่เราขวนขวาย และพยายามไขว่คว้า มันกลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเราเลย.... แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราพลาดไปในชีวิต ไม่ใช่การสร้างเงิน สร้างอำนาจ หรือการยอมรับ

ชีวิตไม่ใช่การทำงาน งานเป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุกกับความงาม

และความพึงพอใจของชีวิต แต่ชีวิตคือ ความสมดุลของงานและการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว ...จงตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตคุณอย่างไร? กำหนดลำดับความสำคัญของคุณเอง

ตระหนักว่าอะไรที่คุณสามารถยอมรับได้ จงตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณของตัวคุณเอง....

ความสุขคือ ความหมายและจุดมุ่งหมายของชีวิต ดังนั้น... สร้างมันง่าย ๆ โดยทำในสิ่งที่คุณต้องการจะทำ และซาบซึ้งกับธรรมชาติ ชีวิตนั้นเปราะบาง ชีวิตนั้นสั้น ใช้ชีวิตอย่างสมดุล ในสไตล์ของคุณเอง

และสนุกกับมัน

มองดูสิ่งที่คุณคิด : มันจะกลายเป็นคำพูด

มองดูคำพูดของคุณ : มันจะกลายเป็นการกระทำ

มองดูการกระทำของคุณ : มันจะกลายเป็นนิสัยติดตัว

มองดูนิสัยของคุณ : มันจะกลายเป็นบุคลิก

มองดูบุคลิกของคุณ : มันจะกลายเป็นโชคชะตา

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ตัวคุณที่จะกำหนดตัวคุณเอง

Photobucket อารมณ์ดีไปวันๆ

ความเป็นมาของ 'ยาสีฟัน'











ยาสีฟันถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอียิปต์โบราณ โดยการผสมวัตถุดิบธรรมชาติ ได้แก่ เกลือป่น พริกไทยป่น ใบมินต์ ดอกไม้ต่างๆ ส่วนในสมัยโรมันมีการคิดค้นสูตรยาสีฟันของตัวเองขึ้นใหม่

ใช้ปัสสาวะของมนุษย์เป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งชาวโรมันเชื่อว่าแอมโมเนียที่อยู่ในปัสสาวะอาจช่วยให้ฟันขาวสะอาดขึ้น ต่อมาช่วงราวศตวรรษที่ 18 ยาสีฟันตำรับอเมริกันที่ใช้ขนมปังเผาเป็นวัตถุดิบก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และในเวลาไล่เลี่ยกันยังมีการคิดค้นสูตรที่เรียกว่าเลือดมังกร ซินนามอน และสารส้มเผา ขึ้นด้วย

กระทั่งศตวรรษที่ 19 จากที่เดิมคนส่วนใหญ่แปรงฟันด้วยน้ำเปล่า กระแสความนิยมของยาสีฟันประเภทผงก็เพิ่มขึ้น แต่ยังคงเป็นยาสีฟันทำเอง โดยมากทำจากผงชอล์ก ผงอิฐ และเกลือ จวบจน ค.ศ.1866 สารานุกรมความรู้แนะนำให้ใช้ผงถ่านแทน ต่อมาในปี 1900 เริ่มมีการผลิตยาสีฟันแบบเหลวที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และเบ๊กกิงโซดา สำหรับส่วนผสมประเภทฟลูออไรด์เติมลงไปในยาสีฟันครั้งแรกในปี 1914 อย่างไรก็ตาม ช่วงศตวรรษที่ 19 นี้ ยาสีฟันแบบเหลวได้รับความนิยมน้อยกว่ายาสีฟันแบบผง จนถึงช่วงสงครามโลกครั้ง 1 บริษัทคอลเกตเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกที่คิดค้นยาสีฟันแบบหลอดบีบขึ้นมาเมื่อปี 1896

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย อธิบายส่วนประกอบก่อนจะเป็นยาสีฟัน ดังนี้ ผลิตภัณฑ์ยาสีฟันที่จำหน่ายในท้องตลาดมี 3 ชนิด คือ ชนิดครีมขาว ชนิดผง และ ชนิดเจล โดยส่วนประกอบของชนิดครีมขาว มี 1.สารขัดฟัน เป็นสารที่มีลักษณะหยาบพอควรที่จะสามารถขจัดสารติดเปื้อน เศษอาหาร คราบจุลินทรีย์บนฟัน ให้หลุดออก แต่ต้องไม่หยาบจนก่อให้เกิดการสึกกร่อนของเคลือบฟัน ได้แก่ ไดแคลเซียมฟอสเฟตและแคลเซียมไพโรฟอสเฟต 2.สารช่วยให้เกิดฟอง นิยมใช้สารสังเคราะห์โซเดียม ลอริลซาโคซิเนต ซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับสารขัดฟันจะช่วยขจัดสารติดเปื้อน เศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ให้หลุดจากฟันได้ง่าย

3.สารยึดเกาะ ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ยึดเป็นทรง เมื่อบีบออกจากหลอด คงตัวอยู่บนแปรงสีฟัน นิยมใช้ คาร์บอก-ซิเมททิล เซลลูโลส 4.สารปรุงรสและกลิ่น ช่วยทำให้ผู้แปรงฟันรู้สึกสดชื่น กลิ่นปากหอมสะอาด สารปรุงรสนิยมใช้ขัณฑสกร และซอร์บิตอล ส่วนสารปรุงกลิ่นมักใช้น้ำมันเปปเปอร์มินต์ หรือน้ำมันสเปียร์มินต์ ขณะที่ยาสีฟันสำหรับเด็กนิยมปรุงกลิ่นด้วยกลิ่นผลไม้ 5.สารคงความชื้น ช่วยให้คงความอ่อนนุ่ม ป้องกันการแห้งแข็งของยาสีฟัน นิยมใช้ซอร์บิตอล ทำหน้าที่ทั้งเป็นสารคงความชื้นและให้รสหวาน

6.สารกันเสีย นิยมใช้โซเดียมเบนโซเอต ป้องกันการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์บูดเน่า 7.สารแต่งสี เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะดึงดูดใจผู้ใช้ นอกจากองค์ประกอบดังกล่าว ปัจจุบันยังมีสาร สำคัญ 2 ชนิด ได้แก่ 8.เกลือของสารฟลูโอไรด์ 9.สารฆ่าเชื้อและสารลดกรด สารลดความเป็นกรดที่นิยมใช้คือ แมกนีเซียมออกไซด์ และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ โดยพบว่าคราบจุลินทรีย์ทนทานต่อสภาวะภายนอก เช่นความเป็นกรดด่างในช่องปากได้ดี แต่คาดว่าการผสมสารลดกรดลงไปจะป้องกันฟันผุได้

ยาสีฟันชนิดผง ประกอบด้วยสารขัดฟันและสารปรุงรสและกลิ่น ส่วนยาสีฟันชนิดเจลมีองค์ประกอบคือ สารก่อเจล ซึ่งเป็นพวกพอลิเมอร์ สารปรุงรสและกลิ่น สารคงความชื้น สารกันเสีย สารแต่งสี กับสารป้องกันฟันผุ ได้แก่ เกลือของสารฟลูโอไรด์ ส่วนยาสีฟันสมุนไพร สมุนไพรไทยที่นิยมคือ ข่อย พบว่าเปลือกข่อยมีสารเทนนิน มีฤทธิ์ระงับเชื้อ ทั้งช่วยเคลือบฟัน กานพลู ใช้ดอกซึ่งมีน้ำมัน มีฤทธิ์ระงับเชื้ออย่างอ่อน นอกจากนี้ก็มีเกลือ ลิ้นทะเล (กระดองปลาหมึก) ใช้เป็นผงขัดฟัน พิมเสน การบูร ชะเอมเทศ ใช้ปรุงแต่งรสชาติ ส่วนสมุนไพรต่างประเทศ ตัวหลักๆ คือ คาโมไมล์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เปปเปอร์มินต์ เสจ เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กลับบ้าน (เฝ้าสวน)

Photobucket



น้องสาวเราเอง ชื่อ ไซอิ๋ว อ้วนท้วนสมบูรณ์ เอิ๊กๆๆๆ

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

...อะไร?...




ไม่เคยจะรู้ ว่าโลกใบนี้
จะมีอีกคนที่ดีและเหมือนกัน แทบทุกอย่าง
และยิ่งไปกว่านั้น คือเธอคนนั้น
เรามาพบกัน เช่นไรยังไม่รู้ ไม่เคยเข้าใจ

แน่ใจว่ารัก




เธอไม่ใช่คนที่ฉันใฝ่ฝัน...

เธอไม่ใช่พระเอกที่หวังในใจ...

และไม่ได้เป็นอย่างที่วาดไว้ .....ไม่ได้ดีมากกว่าใคร

*แต่สิ่งดีๆที่เล็กน้อยของเธอ

กลับมีมาเติมเต็มฉันทั้งใจ

จากความจริงใจที่สะสมมานาน

วันนี้มันก็ทำให้อุ่นใจ

**รักฉันแน่ใจว่ารัก ฉันค้นจนหมดใจ

ก็มีเพียงแค่เธอ

ใครจะมีใครที่ดีเลิศเลอ

ถ้าไม่ใช่เธอก็ไม่มีหวังจะรักใคร

แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อ่อนไหว....

ที่เคยคิดว่าจะได้พบเจอใคร.....

คนที่พร้อมเติมส่วนที่ขาดหาย...

ฉันไม่เคยได้เจอะเจอ.....

*++**

**ก็เลือกเธอแล้วฉันเลือกเธอที่หัวใจ****

จะเกิดอะไรก็รักเพียงเธอ

ที่ว่างตรงนี้ในหัวใจฉันให้เธอ

ไม่มีวันเผื่อให้คนไหน

ความลับของรอยยิ้ม


คนเรามักละเลยที่จะหาความสุขจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว

"มันเป็นเช้าที่หม่นหมองที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของฉัน หลังจากมีปัญหากับสามีรุนแรงขึ้น เรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เขาตกงาน ในที่สุดเราก็แยกทางกันอีกครั้ง (ถ้านับจากครั้งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว)


ปัญหาเศรษฐกิจสำหรับตัวฉันและลูกชายที่เพิ่งครบขวบคงไม่เลวร้ายไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่สามีตกงาน เงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายในบ้าน ก็คือรายได้จากเงินเดือนเสมียนของฉัน การเลิกร้างกับสามีครั้งนี้ทำให้ฉันปวดร้าวลึกซึ้งกว่าสมัยสาวๆ เสียอีก ถ้าจะพูดให้โอเวอร์ก็เรียกได้ว่าหัวใจสลายโดยสิ้นเชิง"

ปลายเสียงของพิมาลาแผ่วเบา เมื่อเล่าถึงความทรงจำที่เจ็บปวดในครั้งนั้น แต่สิ่งที่เธอตั้งใจจะเล่าไม่ใช่ความขมขื่นในชีวิต แม่ลูกหนึ่งวัยสามสิบปลายๆ คนนี้ เล่าตอนสำคัญของเรื่องด้วยดวงตาที่แจ่มใสขึ้น

"ไม่รู้สิ..อะไรๆ มันดูแย่ไปหมด ฟ้าขมุกขมัวทั้งๆ ที่เป็นตอนเช้าแท้ๆ บ้านก็ดูสกปรกรกรุงรัง สิ่งแรกที่ฉันคิดได้ในเช้าวันนั้นก็คือต้องทำความสะอาดบ้าน แล้วฉันก็ลงมือตามใจคิด คว้าเครื่องดูดฝุ่นได้ก็ไถๆๆๆ กลับไปกลับมาทั่วห้อง และจมอยู่กับงานเต็มที่ "

ไม่น่าเชื่อว่าดวงตาของเธอมีประกายของความสุขเห็นชัดเมื่อเล่าถึงตรงนี้ "ตอนนั้นล่ะ พอฉันเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ ฉันก็เห็นลูกชายที่เพิ่งหัดเดินของฉันยืนอยู่ใกล้ๆ ในมือ แกมีเครื่องดูดฝุ่นของเล่นที่คงจะใช้ถูเลียนแบบฉันอยู่ ลูกจ้องฉันด้วยดวงตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา วินานีนั้นแหละที่ฉันรู้สึกว่า ไม่อยากได้อะไรจากชีวิตอีกแล้ว นอกจากความสุขจากการใช้ชีวิตชั่วขณะนั้นกับลูกชายของฉัน"

รู้ตื่น รู้เบิกบาน

เราส่วนใหญ่เป็นเหมือนพิมาลา คือเหมาเอาว่าเราไม่มีความสุขตลอดเวลา เมื่อคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้ไม่มีความสุขเข้าจริงๆ ลองทบทวนดูอีกทีว่า มีใครที่ไหนที่จะมีความสุขทั้ง 24 ชั่วโมง ความสุขจะค่อยๆ ปะติดประต่อจากเศษเล็กเสี้ยวน้อยในแต่ละวันต่างหากเล่า ความลับของความสุขอยู่ตรงนี้ อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของการดำเนินชีวิต ณ ขณะปัจจุบัน เหมือนความสุขที่เจ้าหนูวัยเตาะแตะ ได้จากการทำงานด้วยเครื่องดูดฝุ่นของเล่น

ศาสนาพุทธเรียกการตระหนักรู้ในปัจจุบันว่า "สติสัมปชัญญะ" คือการดำรงอยู่อย่างตระหนักรู้เท่าทันปัจจุบัน หรืออยู่อย่างมีชีวิตจิตใจ รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ และรู้สึกอย่างไร เป็นภาวะที่จิตไม่คิดกังวลถึงสิ่งใดเว้นแต่ขณะที่เรากำลังเป็นอยู่เท่านั้น "ชีวิตมีอยู่จริงในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น ปัจจุบันเป็นที่รวมทั้งอดีตและอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีก็หมายถึงเราแก้อดีตได้ที่ผลของอดีต คือปัจจุบัน เราทำปัจจุบันให้ดีอนาคตก็ไม่ต้องกังวลใจ

เรามีกายที่เคลื่อนไหวแต่ใจนิ่งจากความขุ่นมัว ในเมื่อชีวิตมันมีอยู่จริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้จึงเป็นขณะที่เราควรจะดูแลมันให้มีความสุขที่สุด" แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ผู้ปฏิบัติธรรมที่มุ่งใช้แนวคิดทางศาสนาเพื่อพัฒนาบุคคลและชุมชน ให้ความหมายที่กระจ่างชัดของจิตที่เป็นสุข ซึ่งอาศัยหลักคิดจากพุทธศาสนา

เมื่อปัจจุบันเต็มเปี่ยมและจิตใจไม่ถูกรบกวนจากอะไรก็ตามนอกเหนือจากนั้น รับรู้ถึงการสัมผัสกับธรรมชาติ ตลอดจนผู้คนที่อยู่รอบตัว นั่นคือความสุข ถ้าจะมีกุญแจใดๆ ในการนำไปสู่ความสุข มันก็คือการใส่ใจและเต็มอิ่มต่อปัจจุบัน และสร้างสรรค์โอกาสเช่นนี้ในชีวิตให้มากขึ้นเรื่อยๆ คนมักเข้าใจความหมายของความสุขผิดไปอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังที่เกินจริง หรือการวิ่งหาความสุขจากสิ่งอื่นๆ ภายนอกจิตใจตัวเอง จึงเป็นเรื่องเศร้าเมื่อคิดว่าชีวิตคู่ที่ใกล้จะล้มเหลวคงจะมีความสุขขึ้น ถ้าได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่กลับไม่เคยเป็นสุขเลยเมื่อเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตัวเอง

ความสุขอยู่หนใด

นักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูงคนหนึ่ง ค้นพบว่าความสุขที่แท้จริงของเธอไม่ได้อยู่ที่การขึ้นสู่จุดสูงสุดของหน้าที่การงาน แต่กลับเป็นเรื่องเล็กน้อยจนน่าแปลกใจ "ตอนเย็นเมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน และยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้กลมในครัว เฝ้ามองลูกสาววัย 11 ขวบ กำลังอุ้มเจ้าหนูแฮมสเตอร์ไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับแปรงขนยาวนุ่มของมันอย่างทะนุถนอมข้างๆ เธอคือน้องชายวัย 8 ขวบ ที่มีดวงตาถอดแบบมาจากฉัน มันเหมือนกำลังดูภาพฉายจากภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นความจริง เวลาเหมือนถูกทำให้นิ่งสนิท ฉันมองดูเด็กๆ และตระหนักว่าไม่มีสถานที่ใดในโลกจะมีความหมายมากกว่าที่นี่"

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

สัญญาณของภาวะไร้สุขนั้นอาจเบาบางจนเกือบสังเกตุไม่เห็น แต่สัญญาณนั้นก็มีอยู่จริง ความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อชีวิต อาจแสดงออกในรูปแบบของการทำให้ตัวเองยุ่งอยู่เสมอเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้านั้นไว้ หรือทำลายความเงียบด้วยการเปิดโทรทัศน์หรือวิทยุไว้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องการรับรู้อย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงการเหนี่ยวรั้งตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อาการอื่นๆ ที่สังเกตได้ ยังออกมาในรูปของความผิดปกติในการกิน เช่น อาจจะกินหรือดื่มมากเกินไปเพื่อขจัดความเครียด หรือแม้แต่การมีชีวิตอยู่อย่างซังกะตายกับสามีและลูกๆ

และส่วนที่ปรากฏทางความคิด อาจเกิดขึ้นในรูปของการมีมุมมองที่เย้ยหยันต่อโลกคือมองมันในแง่ร้ายทั้งหมด สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากความผิดหวังหรือสูญเสียในอดีต ซึ่งความปวดร้าวนั้นทำให้จมจ่อมอยู่กับมันจนลืมสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ความรู้สึกอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อการได้ยืนจ้องลูกๆ ที่รักในห้องครัว ดังกรณีของนักธุรกิจหญิงผู้เป็นแม่ คงเกิดขึ้นไม่ได้หากเธอเป็นแม่ที่มีปัญหาหรือมีความโกรธต่อบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ

น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล จิตแพทย์ประจำศูนย์สุขภาพจิต กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และคอลัมนิสต์ตอบปัญหาสุขภาพจิตผู้มีชื่อเสียง อธิบายถึงสาเหตุและการสังเกตสัญญาณต่างๆ ของภาระไร้สุขไว้ว่า "คนเราจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความต้องการ คือมีความสมดุลระหว่างความต้องการกับความสามารถ เมื่อไหร่ที่ความต้องการมีมากกว่าความสามารถก็ไม่มีความสุข

แต่ถ้าความต้องการไม่มากกว่าความสามารถ หมายความว่าสามารถไปถึงความต้องการได้ ก็จะได้ความสุข มันคล้ายกับการยกของ ถ้าเกินกำลังก็ไม่มีความสุข เพราะมันหนักเกินกว่าร่างกายและจิตใจจะรับไหว เหมือนยกของหนักมากมันก็จะกดดันเป็นธรรมดา ซึ่งจะเกิดปรากฏการณ์ที่แสดงออกทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์

อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีตั้งแต่ปวดหัว นอนไม่หลับ ใจสั่น ท้องผูก กินไม่ได้น้ำหนักลด หรืออาจจะกินมากเกินไปก็ได้ รวมทั้งอาจจะมีอาการชาตามือตามเท้า ตาพร่าพราย คือมันเกิดขึ้นได้กับทุกระบบ เพราะมันมาจากจิตใจซึ่งส่งผลต่อสมอง แต่ถ้าเป็นเฉพาะระบบใดระบบหนึ่งก็อาจเป็นโรคทางกาย แต่ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยทางกายอะไรแล้วแสดงอาการพร้อมกันหลายอย่าง ก็เป็นได้ว่าอาจมาจากจิตใจ ซึ่งแต่ละคนก็แสดงออกมาไม่เหมือนกัน

บางคนออกด้านอารมณ์ หงุดหงิด งุ่นง่าย เซ็ง โมโหง่าย หรือเศร้าซึมท้อแท้ แต่ถ้าเป็นด้านพฤติกรรมก็อาจจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือกินอยู่ตลอดเวลา มันก็แล้วแต่ว่าจริตใครจะออกแบบไหน"ลองถามตัวเองว่า ความพลาดหวังในอดีตหรือความปวดร้าวใดๆ ก็ตาม คุกคามเราอยู่กี่ปี สอง สาม หรือสิบปี ทำไมต้องปล่อยให้มันมีอิทธิพลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ใจเศร้าหมองจนพลาดโอกาสสำคัญๆ ที่งดงามในชีวิตปัจจุบันไปเท่านั้น มันยังส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายให้แปรปรวนได้อย่างน่ากลัว ให้มันจบลงเสียทีดีไหม

สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อเติมปัจจุบันให้เต็ม และสามารถรื่นรมย์กับชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น คือการแก้ปัญหาที่ส่งผลมาจากความเศร้าในอดีตเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบำบัด การออกกำลังกาย หรือวิธีใดๆ ก็ตามที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในชีวิต สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ใจเป็นสุขได้ คือการช่วยเหลือผู้ที่กำลังอยู่ในความทุกข์ หรือแม้แต่การให้เล็กๆ น้อยๆ ต่อผู้คนรอบข้างในชีวิตประจำวัน เพราะนอกจากจะทำให้ความเจ็บปวดเบาบางลงแล้ว คุณค่าความหมายจากการได้ให้ ยังเป็นความสุขที่ส่งต่อกันได้เหมือนการล้มของโดมิโน

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ขับถ่ายปัสสาวะเพื่อสุขภาพที่ดี 14 วิธี

ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติ วันนี้จะขอนำเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ
1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ
2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้
3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้
6. หากจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง
7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะมารับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้
8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
9. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ
10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์
12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน
13. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1วันถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตรายต้องไปพบแพทย์โดยด่วน
14. ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

เขาว่ากันไว้ว่าถ้าหากเราท้อ ให้คิดไว้เสมอว่า “ไม่เป็นไร”


ขอให้นึกถึงสิ่งหนึ่งไว้ว่า “เราจะไม่เป็นไร” สิ่งที่เราเป็นไปนั้นเป็น “เรื่องธรรมดา” เรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นกับทุกคนได้ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราและเมื่อถึงในวันที่ใจอ่อนล้า หมดเรี่ยวแรง สักแค่ไหน ขอเพียงอย่าเพิ่งหมด “กำลังใจ” ทำใจให้ดีแล้วพยายามสร้างพลังใจขึ้นมาใหม่ ต่อสู้และแก้ปัญหา ต่อไปอย่าได้ท้อถอย แล้วค่อยๆเดินก้าวไปข้างหน้าก้าวช้า ช้าอย่างสุขุมและรอบคอบกว่าเดิม ถือเสียว่าสิ่งที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ชีวิต สอนให้เรารู้จักคิด รู้จักใช้ปัญญาอย่า ให้ปัญหามาบั่นทอนจิตใจ ต้องคิดให้ได้ว่าชีวิตต้องดำเนินไป ถึงจะยากเย็นเพียงไรก็ต้อง “อดทน” ไว้อย่าได้ยอมแพ้และขอให้อย่าลืมคำ คำนี้ไว้ว่า “เราจะไม่เป็นไร”สักวันทุกอย่างที่เป็นมา มันก็จะผ่านไป แล้วชีวิตก็จะพบกับสิ่งใหม่ๆอีกครั้ง ความสุขก็ยังรอเราอยู่เช่นเดิม
อย่าลืมว่า การจะอยู่อย่างมีความสุขนั้น มันเริ่มจากที่จิตใจ ของเราเอง